วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คอมพิวเตอร์ฮาร์ตแวร์

คอมพิวเตอร์ฮาร์ตแวร์

ฮาร์ตแวร์
ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมอุปกรณ์ต่อพวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 5 ส่วน
1. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่รับโปรแกรมคำสั่ง และข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing : CPU) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมทั้งการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
3. หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูล หรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูล
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวณผล
5. อุปกรณ์พ่วงอื่นๆ (Peripheral Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับคอมพิวเตอร์
หน่วยรับข้อมูล ได้แก่
1. คีย์บอร์ด (Keyboard) อุปกรณ์รับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัส
2. เมาส์ (Mouse) อุปกรณ์นำเข้าข้อมูลโดยการเลื่อนเมาส์เพื่อบังคับตัวชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ

- แบบทางกล (Mechanical) ใช้ลูกกลิ้งกลม

- แบบใช้เอง (Optical mouse)

- แบบไร้สาย
3. OCR (Optical Character Reader) อุปกรณ์นำเข้าข้อมูลโดยการอ่านข้อมูลด้วยลำแสงในลักษณะพาดวางบนเอกสารที่มีข้อมูล
4. OMR (Optical Mark Reader) อุปกรณ์นำเข้าโดยการอ่านข้อมูลจากการทำเครื่องหมายด้วยดินสอและปากกาลงบนกระดาษคำตอบ
5. เครื่องพิกัด (Digitizer) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูล มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยม
6. สแกนเนอร์ (Scanner) เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่เป็นเอกสาร รูปภาพ หรือรูปถ่าย
7. ปากกาแสง (Light Pen) เป็นอุปกรณ์ทำงานคล้ายกับเมาส์ในการติดต่อกับคอมพิวเตอร์
8. จอยสติก (Joy Sticks) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมทิศทางของวัตถุบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
9. จอสัมผัส (Touch Screen) เป็นจอภาพชนิดพิเศษที่ใช้ระบบสัมผัสแทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์
10. เครื่องเทอร์มินัล (Point of Sale Terminal) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลอีกอย่างหนึ่งที่นิยมใช้ในร้านค้า
11. แผ่นสัมผัส (Touch Pads) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลโดยการใช้นิวสัมผัสลงบนแผ่นสัมผัส
12. กล้องดิจิทัล (Dijital Camera) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สามารถแปลงข้อมูลภาพเป็นสัญญาณดิจิทัล
13. อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (Voice Input Devices) หรือเรียกอีกอย่างว่า ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลในรูปแบบเสียง
หน่วยความจำ
1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory) หรือเรียกว่าหน่วยความจำภายใน

- รอม (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น
2. ความจำสำรอง (Second Memory) หรือหน่วยความจำภายนอก

- ฮาร์ดดิส (Hard Disk) เป็นฮาร์ตแวร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์

- ฟล็อบปี้ดิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาด 3.5 นิ้ว

- ซีดี (Compact Disk) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล เป็นสื่อที่มีขนาดความจุสูง
3. รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน
4. ซิบไดร์ฟ (Zip Drive) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่จะมาแทนแผ่นฟล็อบปี้ดิสก์
5. Magnetic optical Disk Drive เป็นสื่อเก็บข้อมูลขนาด 3.5 นิ้ว
6. เทปแบ็คอัพ (Tape Backup) เป็นอุปกรณ์สำหรับสำรองข้อมูล
7. การ์ดเมมโมรี (Memory Card) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก
หน่วยประมวลผลกลาง
1. หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic&Logical Unit : ALU) ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงานเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์
2. หน่วยควบคุม (Control Unit) ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล
หน่วยแสดงผล
1. จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ที่เป็นภาพ
2. เครื่องพิมพ์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ในรูปของอักษรหรือรูปภาพ
3. ลำโพง (Speaker) เป็นอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ในรูปแบบเสียง
อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ
1. โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย
2. แผนวงจรเชื่อมต่อเครื่อข่าย (LAN card) เป็นอุปกรณ์ในการรับ - ส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเวิร์คสเตชั่น และเครื่องให้บริการข้อมูล

สมุนไพรรักษาโรคต่างๆ

สมุนไพรรักษาโรค

สมุนไพรรักษาโรค นั้นมีอยู่มากมาย ลองศึกษาจากข้อมูลพวกนี้ดูน่ะค่ะ โรคไตและม้าม โรคเบาหวาน โรคความดันต่ำ เิ่มเม็ดเลือด เสริมกระดูกให้แข็งแรง ( ไตทำหน้าที่เกี่ยวกับกระดูก ถ้าไตแข็งแรง ก็จะไปเสริมกระดูก ): สับปะรด 1 ลูก ปอกเปลือกและตัดตาให้เรียบร้อย พร้อมกับใบโหระพา 1 กำมือ ปั่นรวมกันให้ระเอียด กรองเอาแต่น้ำใช้ดื่มวันละ 1 เวลาหลังอาหารเย็นทันที ประมาณ 1 ถ้วยกาแฟ หากเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้รับประทานวันต่อไปได้ ไตวาย สับปะรดทั้งเปลือก 1 ลูก กับสารส้ม(บดแล้ว) ประมาณ ครึ่งช้อนกาแฟ ต้มสารส้มกับสับปะรดโดยใส่น้ำเปล่าให้ท่วมสับปะรด ต้มจนสับปะรดเปื่อยแล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม ประมาณวันละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น ( หากอยู่ในระหว่างแพทย์คุม ปริมาณน้ำ ให้ดื่มน้ำยาในปริมาณที่แพทย์อนุญาต )


โรคเบาหวาน ดีบัวแห้ง(บดแล้ว) 1 ช้อนกาแฟใส่น้ำร้อน 1 แก้ว ชงดื่มก่อนนอน ห้ามเพิ่มปริมาณดีบัวเด็ดขาด ทั้งนี้ต้องคุมอาหารประกอบ ะวังอาหารเค็มและมีมันมาก

โรคเบาหวาน ใบมะยม( ในกรณีที่หาดีบัวแห้งไม่ได้ ) ใช้ใบมะยมครั้งละ 8 ก้าน และใบฝรั่งครั้งละ 5 - 7 ใบ หากมีลูกฝรั่งให้หั่นใส่ไปด้วย โดยไม่ต้องเอาเม็ดออก ต้มใบมะยมทั้งก้านกับฝรั่งและน้ำประมาณ 2แก้ว น้ำขนาดปกติ ใช้ดื่มต่างน้ำ

โรคกระดูกพรุน โรคอัลไวเมอร์ และการบำรุงสายตา เซาะแคลเซี่ยมส่วนเกิน แก้อาการข้อ ( เก๊าท์) แก้ภูมิแพ้ มีฤทธิ์ต้านมะเร็งใช้งาดำคั่วบด ทานครั้งละ 1 - 3 ช้อนโต๊ะ จะใช้คลุกข้าวรับประทานก็ได้ รับประทานเวลาใหนก็ได้

โรคซิสด์ เนื้องอก เซลล์มะเร็ง เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ และเห็ดอะไรก็ได้อีก 1 ชนิด ปั่นรวมกันใส่น้ำต้มและทำเป็นซุบ ทานไปเรื่อยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ตัวจี๊ด นำมะระขี้นก จำนวน 5 ลูก หากให้ได้ผลดีให้ใช้ใบ ต้น ราก เม็ด ( ยกมาทั้งต้น ) ประมาณ 5ต้น นำมาต้มน้ำดื่มวันละ 2 แก้ว เช้า - เย็น หากมีลูกกระเจี๊ยบดิบให้รับประทานร่วมด้วยครั้งละ 2 ลูก

โรคไวรัสบี ใช้มะระขี้นก 2 ลูก ต่อน้ำ 1 แก้ว ปั่นเป็นเครื่องดื่มสด ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า - เย็น

โรคกระเพาะ ฟอกปอด และต้านโรคมะเร็ง นำใบมะรุมมาลวกเพื่อรับประทาน หรือรับประทานทั้งดิบๆก็ได้ ประมาณ 4 - 5ยอด วัันละครั้งพร้อมอาหารเย็น

โรคซิสด์ เนื้องอก เซลล์มะเร็ง นำต้นหนอนตายยากปริมาณ 1 กำมือล้างน้ำให้สะอาด ทุบให้ช้ำแล้วใส่น้ำประมาณ 2 แก้ว ต้มให้เหลือ 1 แก้วใช้ดื่มต่างน้ำ ( อาจทำให้ปัสสาวะบ่อย)

โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งเม็ดเลือด ใช้ลูกใต้ใบทั้งต้น จำนวน 6 ต้น ใส่สารส้ม (บดแล้ว ) ครึ่งว้อมกาแฟ เติมน้ำ 1 ลิตร ต้มให้ตัวยาออก ดื่ื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า - เย็น ก่อนอาหาร

โรคความดันโลหิตสูง ใช้หัวไชเท้า ขูดหรือซอยให้ได้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แช่น้ำส้มสายชู 20 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด รับประทานหลังอาหารเย็นก่อนนอน ( สามารถทำปริมาณมากๆ )เก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรับประทานได้

โรคความดันโลหิตสูงดื่มน้ำผึ้งแท้ ใช้น้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำโซดา วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน

โรคครอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง ให้นำน้ำแอปเปิล 1 ผล ปั่นกับน้ำโซดา 1 แก้ว ดื่มก่อนนอน ั้งนี้ให้ระวังพืชท่ีมีครอเรสเตอรรอลสูง เช่น กระถิน มะเขือยาว ชะอม

โรคกระเพราะ ปวดท้อง ลมในกระเพาะมาก รับประทานขมิ้นชัน ทานปรฺมาณ 1นิ้วชี้ วันละ 1 ครั้ง หากเป้นขมิ้นชันให้รับประทาฯปริมาณ นิ้วก้อย และถ้าเป้นขมิ้นชันแคปซูลให้รับประทาน ประมาณ 3 แคปซูล หลังอาหารเย็น

โรคไขมันในลำใส้ กระเพาะไม่ย่อย ถุงน้ำดีไม่ทำงาน ใช้กระชาย ครึ้่งกิโลกรัม ใบกระเพรา 1 กำมือ ปั่นรวมกัน ใส่น้ำครึ่งลิตร กรองแล้วใส่น้ำผึ้งเล็กน้อย ประมาณ 1 ช้อนกาแฟ ดื่มวันละ 1 แก้ว เวลาใหนก็ได้

โรคไมเกรน ใช้พริกไทยดำ 7 เม็ด เคี้ยวพริกไทยในปากข้างที่ปวดศรีษะทีละ 1 เม็ดก็ได้ พริกไทยจะละลายข้างกระพุ้งแก้วทำอย่างนี้จนหมด 7เม็ด พยายามไม่ดื่มน้ำตาม ( ให้กลืนไปเลย ) ให้รับประทานตอนก่อนแปรงฟันตอนเช้า ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์จะเห็นผล

โรคปวดท้องเประจำเดือน ใช้เกลือ 1 ช้อนกาแฟ น้ำตาลทราย 2 ช้อนกาแฟ + น้ำร้อน 1 แก้ว ให้ดื่มวันละ 2 - 3แก้ว ก่อนนอน และตลอดเวลาที่มีรอบเดือน ไม่ควรรับประมานของเย็น

โรคริดสีดวงทวาร กล้วยหอม 1 ใบ ไม่ต้องปลอกเปลือก นำไปต้มน้ำจนสุก รับประทานกล้วยที่ต้มแล้วทั้งเปลือกก่อนนอนเพราะเปลือกมีกำมะถันระษาโรคแล้วดื่มน้ำอุ่นตาม

ซิสด์หน้าอก ให้ใช้หวีพลาดติกหวีที่หน้อกระหว่างอาบน้ำ 5 - 6 ครั้ง ( โดยให้หวีลง )

ต่อมลูกหมาก ใช้ทับทิม 1 ผล ปั่นกับน้ำโซดา 1 แก้ว กรองแล้้วดื่มน้ำนั้น ก่อนนอนหากกลั้นปัสสาวะนานๆก็มีอาการปวดท้องได้เช่นกัน

โรคกระเพราะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ให้นำแตงร้านหรือแตงกวา 1 ลูก มาสับแล้วต้มน้ำใส่สารส้ม ครึ่งช้อนกาแฟ ดื่มหลัง อาหารเช้า - เย็น มื้อละ 1 ลูก

ถูกสารพิษ ภูมิแพ้ เมาค้าง นำใบรางจืดประมาณ 30 ใบ ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่มต่างน้ำ

โรคหัวใจ นำหัวใจหมูสด ผ่าครึ่ง ล้างน้ำให้สะอาด นำทองคำเปลว 3 แผ่น ติดข้างในหัวใจหมู นำหัวใจมาประกบ ใช้เข็มกับด้ายเย็บติดกันใหม่ใช้ 3 หัวใจ นำไปต้ม หรือตุ๋น โดยใส่น้ำให้ท่วมหัวใจเมื่อต้มเปื่อยแล้วให้นำน้ำต้มหัวใจมาดื่ม ครั้งละประมาณ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 1 ถ้วย มื่อดื่มน้ำหมดแล้ว ให้น้เนื้อหัวใจนั้นมาหั่นรับประทานด้วยก็ดี ใช้จิ้มกับน้ำจิ้มอะไรก็ได้

ยาบำรุงหัวใจ ให้รับประทานเม็ดบัวต้มเป็นของหวาน ผลไม้อื่นที่ช่วยบำรุงหัวใจ คือ เชอร์รี่ดำ และมังคุด ส่วนผู้ที่เป็นโรคหัวใจโต ไม่ควรรับประทาน

มารู้จักโรคเบาหวานกันเถอะ

มารู้จักโรคเบาหวานกันเถอะ

โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและวัยกลางคน ซึ่งมีสาเหตุมาจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่รับประทานเข้าไปได้หมดจึงทำให้น้ำตาลคั่งอยู่ในเลือด ถ้ามีน้ำตาลในเลือดมากจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายไม่ให้สูงขึ้น รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง งดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดจากโรคเบาหวาน

ทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากโรคเบาหวาน

- ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การเลือกรับประทานอาหารคนไทยในสมัยนี้มักจะถือค่านิยมของวัฒนธรรมตะวันตก เน้นการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งมีระดับไขมันสูง รับประทานผัก น้อยลงทั้งที่ผักนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามาก มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ได้แก่

1. มะระ ส่วนใหญ่จะใช้มะระขี้นก โดยใช้ผลดิบแก่ที่ยังไม่สุก และยอดอ่อน ใช้เนื้อรับประทานเป็นผักจิ้ม ผลของมะระนำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ส่วนผลมะระจีน ใช้ประกอบอาหาร เช่นแกงจืด ผัด

สรรพคุณทางยา ตามตำรายาไทย เป็นยารสขม ช่วยเจริญอาหาร น้ำคั้นจากผลช่วยแก้ไข้ และใช้อมแก้ปากเปื่อย ผลของมะระจีนที่โตเต็มที่แล้วนำมาหั่นตากแห้งชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มแทนน้ำชา แก้โรคเบาหวาน ใบสดของมะระขี้นกหั่นชงกับน้ำร้อนใช้ถ่ายพยาธิเข็มหมุดและนอกจากนั้นในผลและใบของมะระยังมีสารที่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ พี-อินซูลิน (p-insulin) ซึ่งเป็นสารโปรตีน และคาแรนติน(charantin) ซึ่งเป็นสารผสมของสเตียรอยด์ กลัยโคไซด์ 2 ชนิด

2. ตำลึง ตำลึงเป็นผักพื้นบ้าน ที่มีคุณค่าทางด้านอาหารสูง :ประกอบด้วยวิตามิน 10 แร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินอื่น ๆ อีกมาก ยอดตำลึงใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่นแกงจืด ผัดผัก ลวกจิ้ม น้ำพริก แกงเลียง ใส่ก๋วยเตี๋ยว นอกจากจะมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารสูง ในตำลึงยังพบกรดอะมิโน หลายชนิดในผลตำลึงพบสารคิวเดอร์ บิตาขึ้น บี (cucurbitacinB)

สรรพคุณทางยา ใบและเถาตำลึงมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีการทดลองใช้น้ำคั้นจากใบและเถาตำลึง น้ำคั้นจากผลดิบ และสารสกัดจากเถาตำลึงด้วยแอลกอฮอล์ พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้

3. เตยหอม ใบเตยมีสีเขียว น้ำคั้นจากใบเตย มีกลิ่นหอมนำมาใช้แต่งสีขนม แต่งกลิ่นอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมนำมาเป็นเครื่องดื่ม น้ำที่ได้จากใบเตยมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl acetate),เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate), ไลนาโลออล(Linalool), และเจอรานิออล (geraniol) และมีสารหอมคูมาริน(Coumarin) และเอททิลวานิลลิน(ethyl vanilin)

สรรพคุณทางยา ในตำรายาไทย ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ ให้ชุมชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน น้ำต้มรากเตยสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้

- ตรวจร่างกายเป็นประจำ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

- ดูแลรักษาร่างกาย ระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล เพราะจะทำให้แผลหายช้า

มารู้จัก วัคซีน 2009 กัน เถอะ

มารู้จัก วัคซีน "ไข้หวัด2009" กันเถอะ

วัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่หลายประเทศกำลังเร่งผลิตและทดลองกันอยู่ในขณะนี้ กลายเป็นความหวังของคนทั่วโลก ในยามที่โรคอุบัติใหม่ดังกล่าวกำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ ขณะที่นักวิจัยของไทยเองได้มีการสร้างเชื้อไวรัสสำหรับผลิตวัคซีนเองเหมือน กัน ทั้งวัคซีนชนิด เชื้อเป็นและ เชื้อตาย แต่วัคซีนชนิดไหนดี เด่น หรือด้อย อย่างไร คงต้องลองเปรียบเทียบดูหลายๆ ปัจจัย อาทิเช่น
ผลิตจากอะไร?

วัคซีนเชื้อเป็น :
ผลิต มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชนิดที่อ่อนแรงไม่ก่อให้เกิดโรค นำมาเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วนำไปใช้เป็นวัคซีนได้เลย

วัคซีนเชื้อตาย :
เป็นการ นำเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 2009 มาพัฒนาด้วยเทคนิคทางพันธุกรรม สร้างไวรัสตัวใหม่ที่ไม่ก่อโรคขึ้นมา นำไปเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วทำให้ตาย เหลือแต่ส่วนผิวซึ่งมีลักษณะจำเพาะของไวรัสที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ แล้วจึงนำไปทำเป็นวัคซีนต่อไป

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009วิธีการใช้?

วัคซีนเชื้อเป็น : ใช้วิธีฉีดพ่นใส่โพรงจมูก

วัคซีนเชื้อตาย : ฉีดผ่านทางกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง

สามารถขับออกจากร่างกายได้หรือไม่?

วัคซีนเชื้อเป็น : เชื้อไวรัสที่อ่อนแรงนี้ออกมากับน้ำมูก น้ำลายได้

วัคซีนเชื้อตาย : ไม่มีเชื้อไวรัส

จุดเด่น?

วัคซีนเชื้อเป็น : สามารถ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถผลิตได้ครั้งละเป็นจำนวนมากๆ ภายในเวลาอันสั้น แถมยังมีต้นทุนต่ำอีกด้วย

วัคซีนเชื้อตาย : ข้อดี ของวัคซีนเชื้อตายคือปลอดภัย 100% เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไม่ก่อให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยใดๆ สามารถให้ได้เกือบทุกคน โดยไม่มีอาการแพ้

ข้อจำกัดของวัคซีน?

วัคซีนเชื้อเป็น : ห้าม ใช้กับคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่แพ้ไข่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ที่มีความบกพร่องของ ภูมิคุ้มกัน

วัคซีนเชื้อตาย : หลัง จากฉีดแล้ว ค่อนข้างต้องใช้เวลานานในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและต้นทุนในการ ผลิตก็สูง จำนวนที่ผลิตได้ในแต่ละครั้งต้องใช้เวลามากและได้วัคซีนค่อนข้าง น้อย และอาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีเท่ากับวัคซีนเชื้อเป็น

ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดไหน ก็ขอให้คนไทยทำสำเร็จ สามารถนำมาใช้กับคนได้จริงๆ สำหรับตอนนี้ในขณะที่วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังไม่มี พวกเราก็ต้องใช้วิธีดูแลตัวเองไปก่อน พยายามป้องกันอย่าให้ป่วยเป็นโรคนี้ ด้วยการล้างมือบ่อยๆ หากยังไม่ได้ล้างมือก็อย่านำมือมาขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบสิ่งของเข้าปาก ไอจามใส่กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้า และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัยทันทีที่ไม่สบายหรือเป็น หวัด สำหรับคนปกติหากเข้าที่แออัดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองรับเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว หากพวกเรา “รวมพลังกันสู้หวัด” ตามมาตรการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เชื่อว่า เราจะสามารถเอาชนะเจ้าไข้หวัด2009 ได้อย่างแน่นอน

ไข้หวัดใหญ่ 2009

อาการไข้หวัด 2009

ในคนนั้นมีอาการคล้ายกันกับอาการของคนที่เป็นหวัดปกติ และมีอาการต่อไปนี้คือ มีไข้ ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ หนาว และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน และในอดีตมีรายงานว่าผู้ป่วยหลายคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดบวม และ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกันกับหวัด ที่ไข้หวัด 2009อาจจะแย่ลงจนต้องมีสภาพการเรื้อรังผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัด 2009 ควรได้รับการพิจารณาถึงศักยภาพในการติดเชื้อ ไข้หวัด 2009 ระยะเวลาความยาวนานของการฟักเชื้อจนมีอาการ และความเป็นไปได้ของอาการป่วยที่ยาวนานถึง 7 วัน เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจได้รับเชื้อเป็นเวลานาน